หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับรายการค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีในปี 2567 บทความนี้ก็คงจะเป็นประโยชน์ให้กับคุณได้ไม่มากก็น้อย เพราะว่าเราได้รวบรวมรายการลดหย่อนภาษี 2567 มาให้แบบครบทุกหมวดหมู่ เพื่อที่คุณจะได้นำไปวางแผนการยื่นภาษีในช่วงต้นปี 2568 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากขึ้น แถมยังจะได้ใช้สิทธิประโยชน์จากตัวลดหย่อนได้เร็วขึ้นอีกด้วย ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปพบกับรายการลดหย่อนภาษีปี 2567 พร้อม ๆ กันเลย
1. ลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว
![ลดหย่อนภาษี 2567 ส่วนตัวและครอบครัว.jpg](https://propertyhub.sgp1.cdn.digitaloceanspaces.com/blog/5a102de5c74daa61546c41441964608f.jpg)
1.1 ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัว
ลดหย่อนได้ 60,000 บาท และสิทธินี้ชาวไทยทุกคนใช้ได้หมดไม่ว่าจะอยู่ในสถานะโสด, แต่งงานแบบจดทะเบียนสมรส หรือไม่ได้จดทะเบียนก็ตาม
1.2 ค่าลดหย่อนภาษีคู่สมรส
คู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายและเป็นผู้ที่ไม่มีรายได้ สามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนได้จำนวน 60,000 บาท แต่กรณีที่คู่สมรสเป็นผู้มีเงินได้ สามารถเลือกยื่นภาษีแยกหรือรวมกันได้
1.3 ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตร
ค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร สามารถนำมาลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 60,000 บาทต่อการตั้งครรภ์ หากเป็นการตั้งครรภ์แฝด จะนับเป็น 1 การตั้งครรภ์เท่านั้น โดยจะต้องมีเอกสารมาแสดง คือ ใบรับรองแพทย์ที่แสดงความเห็นว่ามีภาวะตั้งครรภ์ และใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานอื่น ๆ ที่ได้จ่ายให้สถานพยาบาล ใช้สิทธิได้ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน
1.4 ค่าลดหย่อนภาษีบุตร
ครอบครัวไหนมีลูกหลายคนได้เปรียบแน่นอน เพราะลดหย่อนภาษีได้ถึงคนละ 30,000 บาท หากเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย สามารถหักลดหย่อนได้ไม่จำกัดจำนวนคน แต่ถ้าเป็นบุตรบุญธรรม สามารถหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 3 คน โดยมีเงื่อนไขดังนี้
- อายุไม่เกิน 20 ปี
- ถ้าอายุ 21 – 25 ปี ต้องศึกษาอยู่ในระดับ ปวส. ขึ้นไป
- บุตรมีเงินได้ไม่ถึง 30,000 บาทต่อปี
- กรณีบุตรคนที่ 2 ขึ้นไปที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป จะสามารถลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท
1.5 ค่าลดหย่อนสำหรับเลี้ยงดูบิดามารดาของตนเองและของคู่สมรส
บิดา มารดา ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป สามารถนำมาลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท โดยบิดา มารดาต้องมีรายได้ในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท และในกรณีที่ยื่นรายได้รวมกับคู่สมรส สามารถนำบิดาและมารดาของคู่สมรสมาหักลดหย่อนได้ด้วย สูงสุดคือ 4 คน
ทั้งนี้มีเงื่อนไขเพิ่มเติม คือ หากในครอบครัวมีบุตรหลายคนที่อุปการะบิดาหรือมารดา บุตรแต่ละคนจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนบิดา มารดาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้ซ้ำซ้อนได้ และต้องมีหนังสือรับรองการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา (ล.ย.03) ส่วนบุตรบุญธรรมไม่มีสิทธิหักลดหย่อนในส่วนนี้
1.6 สิทธิลดหย่อนสำหรับอุปการะเลี้ยงดูคนพิการ หรือคนทุพพลภาพ
หากผู้มีเงินได้อุปการะเลี้ยงดูคนพิการ/ทุพพลภาพมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 วัน โดยคนพิการ/ทุพพลภาพนั้น มีรายได้ในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท มีบัตรประจำตัวผู้พิการ และผู้มีเงินได้มีหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะจะได้รับสิทธิลดหย่อน 60,000 บาท
และในกรณีผู้พิการ/ทุพพลภาพ เป็นบิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตร จะได้รับสิทธิลดหย่อนทั้ง 2 ส่วน และได้รับสิทธิทุกคนโดยไม่จำกัด แต่หากไม่ได้มีความสัมพันธ์นี้กับผู้มีเงินได้ จะได้รับสิทธิลดหย่อนเพียงแค่ 1 คนเท่านั้น
2. ลดหย่อนภาษีจากการออม การลงทุนและประกันชีวิต
![ลดหย่อนภาษี 2567 จากการออม การลงทุนและประกันชีวิต.jpg](https://propertyhub.sgp1.cdn.digitaloceanspaces.com/blog/641af538f1e149c01022130b2c44f694.jpg)
2.1 เบี้ยประกันชีวิต และเบี้ยประกันแบบสะสมทรัพย์
สามารถลดหย่อนตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท และต้องเป็นประกันชีวิตที่ทำกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยเท่านั้น และกรมธรรม์ต้องมีกำหนดเวลา 10 ปีขึ้นไป โดยหากมีผลประโยชน์ตอบแทนคืนทุกปี (ไม่รวมเงินปันผลตามกรมธรรม์) ต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันชีวิตรายปี
2.2 เบี้ยประกันสุขภาพ
สามารถลดหย่อนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตและเบี้ยประกันแบบสะสมทรัพย์แล้ว จะต้องไม่เกิน 100,000 บาท
2.3 เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา
สิทธิลดหย่อนนี้สามารถใช้สิทธิได้ทั้งบิดามารดาของตนเอง และคู่สมรส โดยจะได้สิทธิลดหย่อนตามจริง แต่เมื่อนำค่าเบี้ยประกันสุขภาพรวมกัน ทั้งของบิดาและมารดาต้องไม่เกิน 15,000 บาท โดยบิดา มารดาจะต้องมีรายได้ในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท และบุตรบุญธรรมไม่มีสิทธิลดหย่อนภาษีในส่วนนี้เช่นกัน
2.4 เบี้ยประกันชีวิตและประกันชีวิตแบบบำนาญของคู่สมรส
หากในปีภาษีนั้น ๆ คู่สมรสไม่มีรายได้ สามารถนำเบี้ยประกันของคู่สมรสมาลดหย่อนภาษีได้สูงสูด 10,000 บาท
2.5 เงินสมทบกองทุนประกันสังคม
เงินสมทบกองทุนประกันสังคม สามารถแบ่งได้ตามมาตรา คือ
- มาตรา 33 หักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 9,000 บาท (ผู้ที่ทำงานประจำ)
- มาตรา 39 หักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 5,184 บาท
- มาตรา 40 หักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 840 (ทางเลือกที่ 1), 1,200 (ทางเลือกที่ 2) และ 3,600 (ทางเลือกที่ 3)
2.6 เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือกองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน
สามารถนำมาหักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้ เฉพาะของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ และเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
2.7 เงินสะสมกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
กองทุนนี้เป็นกองทุนสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระเท่านั้น สามารถหักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
2.8 เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ
สามารถลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุด 15% ของรายได้ แต่ต้องไม่เกิน 200,000 บาท และต้องเป็นประกันชีวิตที่ทำกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยเท่านั้น และกรมธรรม์ต้องมีกำหนดเวลา 10 ปีขึ้นไป และเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ทั้งนี้กรณีที่ผู้มีเงินได้ไม่ได้ทำประกันชีวิตแบบทั่วไป จะสามารถนำเบี้ยประกันแบบบำนาญไปหักลดหย่อนในส่วนนี้ได้ก่อน หรือหากใช้เบี้ยประกันชีวิตลดหย่อนไปแล้ว แต่ยังไม่เกิน 100,000 บาท ก็สามารถนำเบี้ยประกันแบบบำนาญไปหักให้เต็มจำนวน 100,000 บาทได้ก่อน ส่วนที่เหลือจะสามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนได้เพิ่มอีกสูงสุด 15% ของรายได้
2.9 เงินลงทุนธุรกิจวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise)
สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งจะต้องลงทุนในธุรกิจ หรือลงทุนในหุ้นของธุรกิจที่ได้จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 ซึ่งหากเป็นการลงทุนในหุ้น จะต้องถือหุ้นของวิสาหกิจเพื่อสังคมนั้น ๆ จนกว่าจะเลิกกิจการ
2.10 ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
การลงทุนในกองทุน RMF ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ และต้องไม่เกิน 500,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
2.11 ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)
การลงทุนในกองทุน SSF ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
**อัปเดตข้อมูลเดือนมีนาคม 2567 จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้จนถึงปี 2567
2.12 ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)
การลงทุนในกองทุน Thai ESG ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2575 สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของรายได้ และสูงสุดต้องไม่เกิน 100,000 บาท
3. ลดหย่อนภาษีด้วยเงินบริจาค
![ลดหย่อนภาษี 2567 ด้วยเงินบริจาค .jpg](https://propertyhub.sgp1.cdn.digitaloceanspaces.com/blog/0f64a218eb0049221d8a93069b465ce9.jpg)
3.1 เงินบริจาคทั่วไป
สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อน
3.2 เงินบริจาคเพื่อการศึกษา กีฬา พัฒนาสังคม และโรงพยาบาลรัฐ
สามารถลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาคจริง แต่ไม่เกิน 10% ของรายได้หลังหักค่าลดหย่อน
3.3 เงินบริจาคพรรคการเมือง
สามารถลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท โดยจะต้องมีเอกสารมาแสดง คือใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานอื่นใดที่พิสูจน์ได้ถึงการบริจาคให้พรรคการเมืองดังกล่าว
4. ลดหย่อนภาษีจากมาตรการรัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
![ลดหย่อนภาษี 2567 จากมาตรการรัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ.jpg](https://propertyhub.sgp1.cdn.digitaloceanspaces.com/blog/b297e71f463b4e53d8835f622587cba0.jpg)
4.1 ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย
ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย สามารถนำมาลดหย่อนได้ตามจำนวนเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยต้องมีหนังสือรับรองตามแบบที่อธิบดีกำหนด
4.2 โครงการ Easy e-Receipt
ค่าซื้อสินค้าหรือบริการในประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2567 สามารถนำใบกํากับภาษีอิเล็กทรอนิกส์มาลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงรวม VAT แต่สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท และจะต้องเป็นสินค้าที่มีใบกำกับภาษีและใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) ตามระบบของกรมสรรพากรเท่านั้น
4.3 โครงการเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด
สามารถนำค่าบริการที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว หรือค่าที่พักในโรงแรม ค่าที่พักโฮมสเตย์หรือค่าที่พักในสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวใน “จังหวัดท่องเที่ยวรอง” ได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 15,000 บาท หักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตั้งแต่ 1 พ.ค. ถึง 30 พ.ย. 2567 ซึ่งเป็นช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว (Low Season)
: สรุป "มาตราการลดหย่อนภาษี เที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด" ลดสูงสุด 15,000 บาท
รายละเอียดทั้งหมดข้างต้น เป็นรายการลดหย่อนภาษีปี 2567 ตามที่กฎหมายกำหนด ว่าให้สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ เพราะฉะนั้นหากคุณมีการวางแผนในเรื่องของภาษีตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะช่วยทำให้คุณได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยและประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้อีกหลายบาทเลยทีเดียว และไว้โอกาสหน้าเราจะนำข้อมูลดี ๆ อะไรมาฝากอีก คุณก็สามารถติดตามได้ที่ Propertyhub Blog บทความที่รวมทุกเรื่องราวของชาวอสังหาฯ