ล่าสุด! สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ออก"ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ.2568" เพิ่มเติมมาจากประกาศฉบับปี 2562 ซึ่งในบทความนี้เราจะพาไปดูว่ามีกฎหมายส่วนไหนอัปเดทมาบ้าง ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย!
กฎหมายควบคุมสัญญาเช่า ปี 2568
- ควบคุมผู้ประกอบธุรกิจที่มีสถานที่ให้เช่าตั้งแต่ 3 หน่วยขึ้นไป (เดิมเคยเป็น 5 หน่วย)
- กำหนดนิยามสัญญาเช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยระยะสั้น (มีอายุไม่เกิน 3 ปี) สัญญาเช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยระยะยาว (เกิน 3 ปีแต่ไม่เกิน 30 ปี)
- ข้อกำหนดในสัญญา ต้องเป็นในรูปแบบที่ชัดเจน ไม่กำกวม” และควรมี “ข้อมูลครบถ้วน” เช่น ข้อมูลผู้ให้เช่า/ผู้เช่า, รายละเอียดทรัพย์, ค่าเช่า, ค่าสาธารณูปโภค ฯลฯ ต้องระบุชัดเจนในสัญญา และใช้ตัวอักษรภาษาไทยที่อ่านได้
- การคิดค่าน้ำ-ค่าไฟ: ห้ามเก็บค่าน้ำค่าไฟเกินจริงกว่าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรียกเก็บจริงตามเดิม
- ค่ามัดจำและค่าเช่าล่วงหน้า: เก็บเงินค่าเช่าล่วงหน้าและเงินประกันรวมกันได้ไม่เกิน 3 เดือน (สำหรับสัญญาเช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยระยะสั้น) และกรณีคิดค่าเช่าเป็นรายปีให้เรียกเก็บรวมกันได้ไม่เกิน 1 ปี (สำหรับสัญญาเช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยระยะยาว)
- การคืนเงินประกัน: หากสัญญาเช่าสิ้นสุดและผู้เช่าไม่ได้ทำความเสียหาย ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินประกันภายใน 7 วันทำการ เหมือนเดิม
💡 เหตุผลที่ออกกฎหมายใหม่
- เพื่อป้องกันปัญหาที่ผู้เช่าพบบ่อย เช่น การโดนหักประกันโดยไม่ชอบ, ถูกเก็บค่าน้ำ-ไฟเกินจริง, ค่าเช่าล่วงหน้าจำนวนมากเกินควร ฯลฯ
- เพื่อสร้างมาตรฐานของ “สัญญาเช่าที่พักอาศัย” ให้เป็นธรรมและชัดเจนมากขึ้นสำหรับผู้เช่าและผู้ให้เช่า
การแก้ไขกฎหมายเช่าที่พักอาศัยในปี 2568 ถือเป็นก้าวสำคัญที่เพิ่มการคุ้มครองผู้เช่าให้เข้มแข็งขึ้น ทั้งในเรื่องความโปร่งใสของสัญญา ค่าใช้จ่าย และสิทธิของผู้เช่า ขณะเดียวกันก็กำหนดข้อบังคับให้ผู้ให้เช่าที่ทำเป็นธุรกิจ “ต้องเล่นตามกติกา” ถ้าทำสัญญาตามมาตรฐาน ก็ช่วยลดปัญหาข้อพิพาทระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่า และสร้างความเป็นธรรมมากขึ้นในตลาดที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะคอนโด อพาร์ตเมนต์ ห้องเช่า หอพัก หรือบ้านเช่าที่ปล่อยเป็นธุรกิจ โดยสามารถดูเปรียบเทียบกับฉบับปี 2562 ได้
ข้อกฏหมายเกี่ยวกับอสังหาฯ และข้อมูลข่าวสารต่างๆ สามารถอ่านได้ก่อนใครที่ Blog.propertyhub.in.th
