หากกล่าวคำว่า “ติดแบล็คลิสต์” ขึ้นมา เราก็เชื่อได้เลยว่าหลายๆ คน คงจะรู้จักกับเจ้าคำๆ นี้กันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการยื่นเรื่องขอกู้เงินซื้อบ้านซื้อคอนโดกับทางสถาบันการเงิน เพราะเมื่อไหร่ที่คุณติดแบล็คลิสต์นั่นก็จะเท่ากับว่าโอกาสที่คุณจะได้รับการอนุมัติแทบจะกลายเป็น 0 ดังนั้นในบทความนี้เราจึงจะมาขอกล่าวถึงการติดแบล็คลิสต์กันว่ามันคืออะไร ? สำคัญต่อการยื่นเรื่องขอกู้ซื้อบ้าน/ซื้อคอนโดจริงหรือไม่ ? รวมไปถึงข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการติดแบล็คลิสต์ ซึ่งถ้าคุณพร้อมแล้ว เราไปพบกับข้อมูลสุดพิเศษที่ทางทีมงานได้รวบรวมนำมาฝากคุณพร้อมๆ กันเลย
แบล็คลิสต์ (Blacklist) คืออะไร ?
การติดแบล็คลิสต์ (Blacklist) คือ การจ่ายหนี้ไม่ตรงเวลา การติดหนี้บัตรเครดิตต่างๆ การผิดนัดชำระกับทางสถาบันการเงิน เกิน 90 วัน จนทำให้ชื่อของบุคคลนั้นๆ ถูกระบุว่าเป็นคนที่มี “ประวัติทางการเงินไม่ดี” จากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติหรือเครดิตบูโร ซึ่งแน่นอนว่าในอนาคตหากมีการกู้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้าน/ซื้อคอนโดหรือแม้แต่ทำธุรกรรมทางการเงินด้านอื่นๆ บุคคลที่ติดแบล็คลิสต์ก็มักจะไม่ได้รับการอนุมัติจากทางสถาบันการเงิน เพราะในขั้นตอนการดำเนินเรื่องขอกู้สินเชื่อนั้น ทางเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินจะทำการตรวจเช็คประวัติทางการเงินของผู้กู้(จากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติหรือเครดิตบูโร) ซึ่งถ้าประวัติทางการเงินไม่ดี ผิดนัดชำระเป็นประจำ จ่ายหนี้ล่าช้าหรือมีหนี้สินที่ยังคงค้างจ่ายอยู่หลายรายการ ฯลฯ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจหากทางสถาบันการเงินจะไม่ยอมอนุมัติสินเชื่อให้
ทั้งนี้เมื่อรายชื่อได้ติดแบล็คลิสต์แล้ว ชื่อของบุคคลนั้นๆ จะอยู่ในระบบเป็นเวลา 3 ปี ตามที่กฎหมายกำหนด หรือหากจะให้อธิบายแบบเห็นภาพเลยก็คือ สมมุติถ้าคุณติดแบล็คลิสต์ขึ้นมา ภายใน 3 ปีหลังจากนี้คุณจะไม่สามารถกู้ซื้อบ้าน/คอนโดหรือทำธุรกรรมทางการเงินได้เลย
ติดแบล็คลิสต์แต่อยากซื้อคอนโดต้องทำอย่างไร ?
สำหรับใครที่พลาดพลั้งจนทำให้ตัวเองต้องติดแบล็คลิสต์ แต่ก็ยังอยากที่จะมีคอนโดเป็นของตัวเองสักครั้ง สิ่งที่คุณสามารถทำได้เลยก็คือ เริ่มสร้างประวัติทางการเงินที่ดีอีกครั้ง โดยให้คุณเริ่มต้นที่...
ขอเจรจากับทางสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ - เพื่อหาทางออกร่วมกัน อาทิเช่น ขอเพิ่มระยะเวลาการผ่อนผันชำระหนี้ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างหนี้ เป็นต้น
ชำระหนี้ให้ตรงตามกำหนด – เมื่อทางสถาบันการเงินยอมที่จะให้คุณผ่อนผันหนี้หรือปรับโครงสร้างนี้แล้ว สิ่งที่คุณจะต้องจำให้ขึ้นใจเลยก็คือ “คุณจะต้องชำระหนี้ในรอบนี้ให้ตรงกำหนด” เพื่อช่วยรักษาให้เครดิตทางด้านการเงินของคุณกลับมาดีอีกครั้ง(จะได้ง่ายต่อการยื่นเรื่องขอกู้ในอนาคตหลังจากพ้นช่วงเวลาที่ติดแบล็คลิสต์) อีกทั้งทุกๆ การชำระหนี้คุณควรที่จะต้องเก็บหลักฐานทุกชิ้นไว้ เผื่อว่าจะได้นำไปเป็นหลักฐานในการยื่นขอกู้สินเชื่อในอนาคตนั่นเอง
หมั่นตรวจสอบเครดิตบูโรของตัวเอง – หลังจากที่คุณได้ทำการชำระหนี้กับสถาบันทางการเงินเรียบร้อยหมดแล้ว คุณอย่าลืมเข้าไปตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโรของตัวเองว่ามีการอัปเดตข้อมูลแล้วหรือยัง ? เพราะคุณอย่าลืมว่าคุณต้องรออย่างน้อย 3 ปี ดังนั้นข้อมูลยิ่งอัปเดตเร็วมากเท่าไหร่(นับจากวันที่ปิดบัญชีหนี้เสีย) คุณก็จะหลุดจากแบล็คลิสต์เร็วมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
หลีกเลี่ยงการสร้างหนี้เสียก้อนใหม่ - ในช่วงระยะเวลา 3 ปี ที่รอให้ชื่อของคุณหลุดจากแบล็คลิสต์ คุณก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงการสร้างหนี้ก้อนใหม่หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นหนี้ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเมื่อครบระยะเวลา 3 ปีที่คุณหลุดจากแบล็คลิสต์และต้องการขอกู้สินเชื่อซื้อคอนโด ทางสถาบันการเงินจะได้พิจารณาว่าคุณนั้น ไม่ได้มีภาระหนี้สินที่เกินตัว จนทำให้คุณมีโอกาสที่จะได้รับการอนุมัติเพิ่มขึ้นนั่นเอง
รายละเอียดที่เราได้กล่าวไปข้างต้นคงพอจะทำให้คุณรู้จักกับคำว่า “ติดแบล็คลิสต์” ได้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าหากเลือกได้การไม่ติดแบล็คลิสต์มันจะเป็นผลดีต่อการยื่นเรื่องขอกู้เงินกับทางธนาคารหรือสถาบันการเงินอย่างแน่นอน แต่สำหรับใครที่ติดแบล็คลิสต์ไปแล้ว ก็ให้คุณค่อยๆ จัดการกับหนี้สินที่เกิดขึ้นตามขั้นตอนที่เราได้กล่าวไป เพียงแค่นี้ประวัติทางการเงินของคุณก็จะกลับมาขาวสะอาดได้อีกครั้งแล้วล่ะ
และสำหรับใครที่กำลังมองหาโครงการคอนโดทำเลสวย ราคาดี มีสิทธิ์ได้รับการอนุมัติสูงอยู่ล่ะก็ คุณสามารถเข้าไปเลือกชมโครงการคอนโดกว่า 4,000 โครงการทั่วประเทศได้ที่ Propertyhub เว็บไซต์ที่รวบรวมโครงการคอนโดที่คุณตามหา ในราคาที่คุณจับต้องได้