รถยนต์ไฟฟ้า ยานพาหนะแห่งอนาคตที่กำลังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ณ ขณะนี้ ชูจุดเด่นเรื่องของความประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่สิ่งที่เป็นข้อกังวลหลักของผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้านั่นคือเรื่องของการชาร์จไฟฟ้า ว่าควรชาร์จแบบใดดีกว่า?
ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ไหนดี?
ปัจจุบันนี้ในรถยนต์ไฟฟ้า ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุนการเดินทางที่ถูกกว่ารถยนต์สันดาปถึงครึ่งหนึ่ง มอบอัตราเร่งที่เร้าใจกว่ารถสันดาป แถมตัวรถก็บำรุงรักษาได้ง่ายกว่า ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะใช้งานง่าย แค่เสียบปลั๊ก รอแบตเตอร์รี่เต็ม ก็ใช้งานได้ยาวๆ แล้ว ว่าแต่การชาร์จแบตเตอร์รี่ของรถยนต์ไฟฟ้าเนี้ย เราควรชาร์จแบบไหนดี? โดยทุกวันนี้รูปแบบการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจะมีอยู่ 2 สถานที่หลักๆ ได้แก่การชาร์จตามสถานีชาร์จต่างๆ กับการชาร์จที่บ้าน เรามาดูกันว่าชาร์จแบบไหน มีข้อดี/ข้อเสีย อย่างไร
รถยนต์ไฟฟ้า 100% มักจะมีระบบการชาร์จมาให้ 2 แบบด้วยกัน ได้แก่การชาร์จแบบ AC และการชาร์จแบบ DC Fast charge ส่วนในรถยนต์ PHEV ส่วนใหญ่ มักจะให้มาเฉพาะการชาร์จแบบ AC ว่าแต่การชาร์จ 2 แบบนี้ ต่างกันอย่างไร?
ชาร์จ AC / DC คืออะไร
ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจเรื่องของระบบไฟฟ้าพื้นฐานกันก่อนว่ามันคืออะไร
AC = Alternating Current = ไฟฟ้ากระแสสลับ
เป็นระบบไฟฟ้าแรงดัน 220 โวลต์ ที่ใช้กันในบ้านเรือนทั่วไป
DC = Direct Current = ไฟฟ้ากระแสตรง
เป็นระบบไฟฟ้าที่ใช้กับสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน (ไฟฟ้าระบบ AC)
การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ผ่าน Wallbox นับเป็นวิธีการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่มีต้นทุนถูกที่สุด ณ ปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะบ้านที่ติดตั้งมิเตอร์แบบ TOU ชาร์จรถช่วง Offpeak จะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเพียงหน่วยละ 2.6369 บาทเท่านั้น สมมุติว่าชาร์จ Tesla Model Y Long Range จาก 0-100% ที่มีความจุแบตเตอร์รี่ 82 kWh หากเราชาร์จแบตเตอร์รี่จาก 0-100% จะเสียค่าไฟฟ้าเพียง 216 บาทเท่านั้น
โดยการชาร์จ AC ระบบจะทำการรับไฟฟ้าจาก Wallbox ผ่านเข้าสู่ On-Board AC-charger ในตัวรถ เพื่อแปลงเป็นระบบไฟฟ้าแบบ DC ส่งเข้าสู่แบตเตอร์รี่
ข้อดีของการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน (ไฟฟ้าระบบ AC)
-
คุณมีแหล่งเติมพลังงานเป็นของส่วนตัว ไม่ต้องไปรอต่อคิวใคร เพราะที่ชาร์จนี้เป็นของคุณ โดยตู้ชาร์จในบ้านบางรุ่น รองรับการชาร์จได้สูงสุด 22 kW ขึ้นอยู่กับระบบไฟฟ้าที่บ้านของท่าน, ตู้ชาร์จ และรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่ท่านใช้ว่ารองรับได้เท่าใด
-
ชาร์จได้กับรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่น รวมไปถึงรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดด้วย
-
ต้นทุนด้านพลังงานถูกที่สุด จ่ายค่าไฟฟ้าถูกที่สุด
-
สามารถชาร์จข้ามคืนได้แบบไร้กังวลเรื่องแบตเตอร์รี่เสื่อม เพราะการชาร์จ AC ไม่ทำให้แบตเตอร์รี่ร้อนมาก
-
ใช้งานง่าย แค่เสียบปลั๊ก และสั่งชาร์จได้เลย ไม่ต้องรอเชื่อมต่อระบบแบบตู้ชาร์จสาธารณะ
ข้อเสียของการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าด้วยระบบไฟแบบ
AC คือ
-
ใช้ระยะเวลาการชาร์จที่ค่อนข้างนาน ไม่เหมาะสำหรับคนที่เร่งรีบหรือขี้ลืม อารมณ์ว่าลืมชาร์จแบตมือถือก่อนนอนเลยล่ะ
-
ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน กำลังการชาร์จสูงสุดยังอยู่เพียง 3 - 22 kW เท่านั้น ขึ้นอยู่กับกำลังของตู้ชาร์จ/ อุปกรณ์การชาร์จ
-
ไม่เหมาะกับคนที่ไม่ได้อยู่บ้านส่วนตัว ที่ไม่สามารถติดตั้งตู้ชาร์จส่วนตัวได้
ชาร์จรถไฟฟ้าที่สถานีชาร์จรถยนต์ (ไฟฟ้า ระบบ DC)
การชาร์จที่สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือการชาร์จด้วยระบบ DC นับเป็นวิธีการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่เร็วที่สุด เพราะเป็นการชาร์จไฟฟ้าจากหัวจ่ายเข้าสู่แบตเตอร์รี่โดยตรง ไม่ต้องผ่าน On-Board AC-charger ในตัวรถ เหมือนกับการชาร์จด้วยระบบ AC
อาทิเช่นการชาร์จ Tesla Model Y Long Range จาก 0-100% โดยตัวรถสามารถรองรับการชาร์จด้วยระบบ DC สูงสุดที่ 210 kWh หมายความว่าตัวรถจะทำการชาร์จไฟฟ้าจนเต็มได้ภายในครึ่งชั่วโมงเท่านั้น (ถ้าตู้ชาร์จนั้นสามารถจ่ายไฟได้มากกว่า 210 kW)
ข้อดีของการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่สถานีชาร์จ
-
ชาร์จไฟฟ้าได้เร็วที่สุด โดยรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นในไทย ด้วยตู้ชาร์จแบบ DC ในไทย สามารถชาร์จแบตเตอร์รี่จาก 10-80% ได้ภายในระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นแทบทุกรุ่น
-
เหมาะสำหรับการเดินทางไกล ที่ต้องทำเวลาในการเดินทางให้สั้นลง เพราะเราใช้เวลาในการรอชาร์จแบตเตอร์รี่ไม่นานมากนัก
-
เป็นโอกาสได้พักผ่อนที่ดีสำหรับนักเดินทาง และได้เติมพลังงานไปในตัวด้วย เพียงคุณแวะเข้าห้องน้ำ ทำธุระนิดหน่อยสัก 15 นาที ก็ได้ไฟฟ้าเพิ่มเข้ามาเพียงพอสำหรับระยะทางขับขี่หลักร้อยกิโลเมตรได้แบบสบายๆ
ข้อเสียของการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่สถานีชาร์จรถยนต์
-
มีราคาสูง โดยในประเทศไทยมีราคาชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสูงสุดถึงหน่วยละ 7.7 บาทเลยทีเดียว
-
ณ ปัจจุบันนี้ สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ายังไม่คลอบคลุมมากเหมือนปั้มน้ำมัน
-
มีความซับซ้อน (อาจจะเป็นแค่ในไทย) เพราะตู้ชาร์จ DC มีหลายผู้ให้บริการมากๆ และแต่ละผู้ให้บริการก็มีเงื่อนไขการใช้งานที่ต่างกันออกไป ใช้แอพลิเคชั่นการชาร์จคนละแอพฯ กัน แถมวิธีชำระเงินก็ต่างกันเกือบทั้งหมด ผู้ใช้ใหม่อาจจะต้องทำการศึกษาและเรียนรู้สักระยะ
-
ไม่เป็นส่วนตัว โดยเฉพาะคนที่ใช้งานรถในเส้นทางที่ขับประจำ การต้องเสียเวลาอย่างน้อย 30 - 60 นาทีต่อการชาร์จ 1 ครั้งตามตู้ชาร์จในที่สาธารณะ นับเป็นเรื่องที่ไม่สะดวก และไม่เป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง แถมเวลามีคนมารอชาร์จก็ต้องรีบออก เพราะต้องแบ่งให้คนข้างหลัง และยิ่งมีคนชาร์จก่อนหน้าคุณอยู่ด้วยแล้ว คุณก็ต้องรอนานขึ้นไปอีก ต่างกับการชาร์จที่บ้านที่คุณสามารถเสียบชาร์จทิ้งไว้ได้เลย และมันก็คอยเติมไฟฟ้าเข้ารถคุณตลอดเวลา
-
เสียเวลา จากปกติแล้วที่คุณจะเอาเวลานั้นไปพักผ่อนอยู่กับครอบครัวที่บ้าน กลายมาเป็นคนติดรถ ต้องรอชาร์จรถอยู่ที่สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพราะสุดท้ายแล้วการชาร์จนอกบ้าน ก็เหมาะสำหรับการใช้งานที่เร่งรีบ หรือใช้สำหรับการเดินทางไกลมากกว่า
ควรติดตู้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ก่อนรับรถยนต์ไฟฟ้า
สิ่งแรกที่ว่าที่เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าควรทำหลังจากสั่งจองรถยนต์ไฟฟ้ามาแล้วนั่นคือการเตรียมความพร้อมของระบบไฟฟ้าภายในบ้านครับ เริ่มตั้งแต่ตรวจเช็คตัวมิเตอร์ไฟฟ้าบ้านของเราว่ามีขนาดมากกว่า 15(45)A หรือไม่ แต่ถ้าให้ดีแล้วควรแจ้งการไฟฟ้าขอติดมิเตอร์แบบ TOU และขอไฟฟ้าแบบ 3 เฟส เพื่อรองรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าด้วย โดยเราสามารถติดต่อกับการไฟฟ้าได้โดยตรง เพื่อสอบถามรายละเอียดได้ครับ และให้ทางการไฟฟ้าเค้าทำการติดตั้งมิเตอร์แบบ TOU ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนการมาถึงของรถยนต์ไฟฟ้าของเรา
เนื่องจาก รถยนต์ไฟฟ้าแทบทุกรุ่นที่มีขายในไทย ณ ตอนนี้ มักแถมตู้ชาร์จแบบ Wallbox มาให้อยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยให้การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสะดวกมากยิ่งขึ้นครับ และยิ่งเป็นมิเตอร์แบบ TOU ด้วยแล้ว ก็ยิ่งช่วยทำให้ค่าไฟฟ้าถูกลงกว่าเดิมด้วย เพราะการใช้ไฟฟ้าช่วง Off Peak จะมีค่าพลังงานไฟฟ้าที่ถูกกว่านั่นเองครับ
ส่วนสาเหตุที่ต้องติดตั้งแบบ 3 เฟสนั้น เพราะว่าตู้ Wallbox บางรุ่น สามารถรองรับระบบไฟฟ้าแบบ 3 เฟสได้ ซึ่งระบบไฟฟ้าประเภทนี้จะมอบพละกำลังในการชาร์จที่สูงกว่าตู้ Wallbox 1 เฟสธรรมดาครับ โดยตู้แบบ 3 เฟสบางรุ่น รองรับการจ่าย กระแสไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 22 kW เลยทีเดียว เรียกได้ว่าแรงเกือบครึ่งหนึ่งของตู้ DC Fastcharge ส่วนใหญ่ในไทยเลยครับ
ติดตามรีวิวรถออกใหม่ เช็คราคาและตารางผ่อนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ พร้อมอัปเดตข่าวสารในวงการรถยนต์ก่อนใคร ที่เวปไซต์ Autospinn หรือจะค้นหารถมือสอง ราคาโดน ๆ พร้อมโปรโมชั่นที่น่าสนใจ ต้องนึกถึง one2car ตลาดซื้อขายรถมือสองออนไลน์ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย